วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับสุขภาพดี กับ Chelation

Chelation

สารปนเปื้อนที่ปะปนในอาหารที่เรากิน ในอากาศที่หายใจ นอกจากจะมีเชื้อโรคแล้ว โลหะหนัก ( เช่นตะกั่ว ปรอท แคดเมียม อลูมิเนียม) ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง เพราะเมื่อร่างกายสะสมโลหะหนักเป็นประจำ จะทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น การสะสมอลูมิเนียมทำให้ความจำเสื่อมหรือที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ การสะสมตะกั่วจะทำให้เกิดความผิดปกติทางสมอง เป็นต้น

การกำจัดโลหะหนักด้วยวิธีทางธรรมชาติมีการใช้วิธีที่เรียกว่า Chelation เป็นการใช้สารบางอย่างเพื่อเข้าไปจับโลหะหนัก และขับออกจากร่างกาย ซึ่งนอกจากจะเป็นการกำจัดโลหะหนักที่เป็นพิษแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ความผิดปกติในการมองเห็นเนื่องจากเบาหวาน ภาวะข้ออักเสบได้ด้วย


สารที่นิยมใช้ในการทำ chelation คือ EDTA ซึ่งการใช้มีทั้งการกิน และการฉีดผ่านทางหลอดเลือดดำ เพราะร่างกายสามารถกำจัดสารชนิดนี้ได้ในเวลาไม่นาน เพียง 48 ชั่วโมง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียงต่อร่างกายที่รุนแรง (อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงของEDTA ก็คืออาการปวดศีรษะ ระคายเคืองผิวหนัง ท้องเสีย เหนื่อยง่าย ปวดตามข้อต่อ)

อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีธาตุกำมะถันหรือที่เรียกกันว่า ซัลเฟอร์ ในปริมาณสูง ได้แก่ หัวหอม กระเทียม ผักสีเขียว สาหร่าย ก็มีคุณสมบัติในการรวมตัวกับโลหะหนักได้ดีเช่นกัน ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าEDTA ก็ตาม


โรคที่สามารถบำบัดได้ด้วยการchelation คือ
  • ความผิดปกติของดวงตาเนื่องจากหลอดเลือด เช่น ปัญหาการมองไม่เห็นของผู้ที่เป็นเบาหวาน
  • ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ เนื่องจากการchelation โดย EDTA จะดึงเอาแคลเซียมที่เกาะผนังหลอดเลือดออกทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น
  • ภาวะเป็นพิษของโลหะหนัก
  • ออทิสติก เนื่องจากการสะสมของโลหะจะทำให้อาการของกลุ่มออทิสติกรุนแรงขึ้น
  • ภาวะข้ออักเสบ รูมาตอยด์
  • ต้อที่ตา
  • ถุงลมโป่งพอง
  • พาร์คินสัน
  • ความดันโลหิตสูง

การใช้ chelation เพื่อบำบัดนั้นมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่เป็นวัณโรคปอดและโรคไตชนิดรุนแรง เพราะเนื่องจากสารchelation นอกจากจะกำจัดแคลเซียมที่หุ้มรอบๆบริเวณเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อวัณโรคแล้ว ยังทำให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคแพร่กระจายออกไปรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรใช้การบำบัดด้วยสารchelation เพราะสารchelationนั้นก่อนจะถูกขับออกจากร่างกาย ต้องผ่านการกรองที่ไตก่อน ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มภาระให้ไตทำงานหนักยิ่งขึ้น

การบำบัดด้วยวิธี chelation สามารถทำได้ทุกวัน หรืออาจจะเว้นระยะเพื่อรอให้ร่างกายทำการฟื้นฟูและซ่อมแซมตนเองด้วยก็ได้ ถึงแม้การบำบัดด้วยวิธี chelation จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็สามารถช่วยบำบัดความผิดปกติ หรือโรคบางอย่างที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีที่มีกันอยู่



ใครควรจะทำคีเลชั่น
  • ผู้ ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะอมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มีระดับอนุมูลอิสระสูง เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ
  • ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสม และปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย
  • ผู้ที่ชอบกินอาหารสำเร็จรูป ที่มีสารกันบูด สีผสมอาหาร และสารปนเปื้อนต่างๆ
  • ผู้ที่มีโอกาสปนเปื้อนสารเคมี เช่น สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม
  • ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการเช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ
  • ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
  • ผู้ ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็ง และโรคเส้นเลือดตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัว และต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต
  • ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด ใส่ขดลวด ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่นจะป้องกันปัญหาเหล่านั้นได้